วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

กรุงเทพ-ย่างกุ้ง-วัดบารมี-วัดพระเขี้ยวแก้ว-พระเทพทันใจ-ชมนาฏศิลป์พม่า

วันที่ 6 เมษายน 2554 ทุกคนพร้อมกัน ณ จุดนัดหมายคือที่สนามบินสุวรรณภูมิ เช็คอินเวลา 05.00น. เพื่อออกเดินทางสู่สนามบินมิงกาลาดง กรุงย่างกุ้ง ถึงจุดหมายปลายทางเมื่อเวลา 8.00น. เวลาในพม่าช้ากว่าบ้านเราครึ่งชั่วโมง อัตราแลกเปลี่ยนก็อยู่ที่ 1,000บาทต่อ 22,000จ๊าด ผู้เขียนเตรียมธนบัตรใบละ 20 บาทไปเยอะมาก ก็ใช้ได้นะ ใช้แบบไม่ต้องกังวลเรื่องส่วนต่างของอัตราแลกเปลี่ยนเลย ก็คือ 20 บาทเท่ากับ 500จ๊าด 40 บาทเท่ากับ 1,000จ๊าด เข้าห้องน้ำทีก็ 500 จ๊าด ทิปบ๋อบก็ 500-1,000 จ๊าด ทำบุญให้ทานก็ใบละ 20 บาทได้เลยนั่งเครื่องบินจากสุวรรณภูมิไม่ทันที่กาแฟจะเย็นก็ถึงแล้ว ก็ประมาณ 1 ชั่วโมงน่ะแหล่ะ
ขณะรอกระเป๋าก็เก็บภาพไปเรื่อย
นี่คือโฉมหน้าของไกด์พม่าของเราอาหารมื้อแรกคือติ่มซำ รสชาดอร่อยดีแต่กลืนไม่ค่อยลง อาหารมีเติมให้ตลอดเวลาจนเราต้องลุกหนีจากโต๊ะอาหาร จุดแรกที่พาเราไปชมคือช้างเผือกน่ารัก แสนรู้ ที่มีลักษณะ 9 ประการตรงตามตำราโบราณ ซึ่งหาชมได้ยากมาก ควานช้างจะเก็บขนช้างที่ถูกสลัดทิ้งไว้ขายให้นักท่องเที่ยวไว้บูชา
จากนั้นเราเดินทางไปนมัสการวัดพระหินอ่อน (MARBLE BUDDHA) ซึ่งเป็นวัดที่มีพระพุทธรูปทำจากหินอ่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก และไปสักการะวัดพระเขี้ยวแก้ว ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วเมื่อครั้งที่อัญเชิญจากประเทศจีน สามเณรน้อยสามารถพบเห็นได้ทั่วไป เราไม่ค่อยชินกับการที่พระเณรสามารถสัมผัสสตรีได้ บางแห่งอาจพบสามเณรถือบาตรเดินตามขอปัจจัยเราไปตลอดทาง ถ้าให้องค์หนึ่งอีกหลายองค์จะเดินตามเราจนบางครั้งเรารู้สึกไม่สบายใจเลย บางแห่งที่ผู้เขียนแอบสังเกตคือ จะมีผู้ดูแลคอยระวังไม่ให้สามเณรเหล่านี้มารบกวนนักท่องเที่ยว เขาจะไล่เสียงดัง หรือไม่ก็บีบแขนแรงๆก็มี หากถือกล้องถ่ายรูปก็จะมีพนักงานของวัดมาเรียกเก็บเงินราวๆ 500-1,000 จ๊าด การเข้าวัดต้องถอดรองเท้าทุกคน เป็นการแสดงการสักการะอย่างที่สุด
ออกจากวัดพระเขี้ยวแก้ว เราก็ไปสักการะเจดีย์กาบาเอ เพื่อใช้เป็นสถานที่ชำระพระไตรปิฎกครั้งที่ 6 ในช่วงระหว่างปี 2497-2499 และเพื่อให้บังเกิดสันติสุขแก่โลก
แล้วคณะเราก็เดินทางต่อไปวัดบารมี เพื่อสักการะพระเกศาของพระพุทธเจ้า ที่เชื่อว่ายังมีชีวิตอยู่จริง ด้วยองค์พระเกศาธาตุนี้ เมื่อนำมาวางบนมือ จะสามารถเคลื่อนไหวได้ อีกทั้งวัดบารมีนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นที่เก็บองค์พระบรมสารีริกธาตุไว้มากที่สุดด้วย ไม่ว่าจะเป็นของพระโมคาลา พระสารีบุตร และพระอรหันต์อื่นๆ จากนั้นไปสักการะเจดีย์โปตาทาวน์ สร้างโดยทหารพันนาย เพื่อบรรจุพระบรมธาตุที่พระสงฆ์อินเดีย 8 รูปได้นำมาเมื่อ 2,000ปีก่อน ในปี 2486 เจดีย์แห่งนี้ถูกระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรเข้ากลางองค์ จึงพบโกศทองคำบรรจุพระเกศาธาตุและพระบรมธาตุอีก 2 องค์ และพบพระพุทธรูปทอง เงิน สำริด 700 องค์ และจารึกดินเผาภาษาบาลี และตัวหนังสือพราหมณ์อินเดียทางใต้ ต้นแบบภาษาพม่า ภายในเจดีย์ที่ประดับด้วยกระเบื้องสีสันงดงาม และมีมุมสำหรับฝึกสมาธิหลายจุดในองค์พระเจดีย์ นมัสการพระทันใจ เทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ของชาวพม่าและชาวไทยสาธารณสุขอำเภอสีดา นครราชสีมา นายพงษ์พิพัฒน์ ชุ่มสีดา กำลังสนใจรถสามล้อถีบ ซึ่งนั่งได้เบาะละ 1 คน หันหลังชนกัน พ่วงกับจักรยาน 2 ล้อเท่านั้นเอง ก็ต้องซื้อพวงมาลัยดอกไม้เพื่อไปไหว้พระกระซิบ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ค่ำพอดี ไกด์จึงพาไปรับประทานอาหารค่ำแบบบุฟเฟ่นานาชาติ ได้ลิ้มลองอาหารพื้นเมืองแบบพม่า พร้อมชมการแสดงนาฏศิลป์อันงดงามตามแบบพม่า ณ ภัตตาคารการะเวกบนทะเลสาบหลวง ภัตตาคารนี้สร้างในปี 2513 โดยเลียนแบบเรือกัญญา หัวเรือเป็นรูปนกการะเวก สัตว์ในวรรณคดีป่าหิมพานต์ ซึ่งสามารถเห็นทิวทัศน์ของพระมหาเจดีย์ชเวดากองอันงดงามยามค่ำคืนได้ด้วยรวมวัดที่เราได้ไปสักการะประมาณ 15 วัด น่าขอบคุณบรรพบุรุษของเขาที่ได้สร้างมหาเจดีย์อันยิ่งใหญ่ให้เราได้สักการะบูชา พม่ายังมีที่น่าเที่ยวอีกมาก ไว้คราวหน้าจะนำมาเล่าสู่ฟังอีกนะคะ